31/03/2023
Breaking News

จอมขมังเวทย์ 2020 ภาคต่อที่รอ

จอมขมังเวทย์ ภาคแรกออกฉายในปี พุทธศักราช 2548 ผลงานการกำกับของปิยะพันธ์ ชูเพ็ชร์นำแสดงโดยฉัตรชัย ส่องแสงพานิชและอัครา อมาตยกุล หนังแนวแอ็คชั่น ทริลเลอร์ที่ถือเอาความเลื่อมใสทางไสยเวทมาผนวกรวมกับหนังแนวสอบสวน พูดได้ว่าเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่ยังค้างอยู่ในความทรงจำของแฟนหนังไทยจำนวนหลายชิ้น

กำเนิดอะไรขึ้นในหนังภาคแรก

mark 1
ฤทธิ์ (ฉัตรชัย ส่องแสงพานิช) อดีตนายตำรวจหน่วยพิเศษเคยจับผู้ร้ายที่มีความรู้เก่งทางคาถาอาคม หนังเหนียวฟันแทงไม่เข้ามานับไม่ถ้วน แต่ตัวเขาเองกลับถูกทำโทษคดีวิสามัญผู้ร้ายจนกระทั่งแปลงเป็นผู้ต้องขังถูกขังลืมอยู่ในเรือนจำมืดแดนกักขังพิเศษ
10 ปีผ่านไปฤทธิ์ได้ล่องหนไปจากกรงขังแบบล่องหนได้ ทำให้พ.ท.ทศพล อดีตเพื่อนฝูงนายตำรวจได้สั่งจับตายฤทธิ์ และมีคำบัญชามาถึงร้อยตรี สันติ (อัครา อมาตยกุล) ให้ตามทำคดีนี้ แต่ว่าระหว่างตามหาตัวฤทธิ์ สันติกลับเจอแต่เหตุประหลาดเกี่ยวกับเรื่องของคุณไสยมนต์ดำ เป็นต้นว่าการเสกตะปูเข้าท้อง ผู้ร้ายที่คงกระพันชาตรีหนังเหนียว แต่ไม่ว่าจะเหนื่อยยากขนาดไหนสันติก็ไม่กลัวและมุ่งมั่นที่จะจับกุมฤทธิ์มาให้ได้ เมื่อเขารู้ตัวว่าตัวเองบางทีก็อาจจะจำเป็นต้องประจันหน้ากับจอมขมังเวทย์ผู้ครอบครองคาถาอาคม แนวทางเดียวที่จะสยบเขาให้ได้คือเป็นให้ “เหนือกว่าจอมขมังเวทย์”
จนกระทั่งผู้ชมในยุคสมัยนั้นจำคำคมจากนักแสดงของฤทธิ์ได้ว่า “มึงอย่าบ้าราวกับฉันก็แล้วกัน” ได้อย่างไม่เสื่อมคลาย

กำเนิดอะไรบ้างใน จอมขมังเวทย์ 2020

mark 2
ท่ามกลางการสูญเสียครั้งใหญ่ของวิน(หมาก ปริญ) หนุ่มน้อยผู้รอดชีวิตจากเหตุการฆ่าสังหารกลับจำเป็นต้องแปลงความเลื่อมใสและเลื่อมใสที่มีต่อสิ่งเหนือธรรมชาติ โดยมุ่งหน้าเข้าสู่ศาสตร์ลึกลับและคาถาอาคมเวทต่างๆเพื่อสืบหาและจัดแจงฆาตกรด้วยตนเอง แต่ว่ายิ่งเขาสืบหาตัวฆาตกรแค่ไหน เขาก็ยิ่งถลำลึกสู่ด้านมืดมากขึ้นทุกครั้ง จนกระทั่งทำให้จำเป็นต้องเข้าไปพัวพันกับ “จอมขมังเวทในตำนาน” (นก ฉัตรชัย), “ผู้คลั่งพลังล้างผลาญ” (ก๊อต จิรายุ) และ “เจ้าลัทธิใหม่ที่ยุค” (นก สินจัย) ซึ่งล้วนแต่มีความเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมร่วมกันทั้งมวล นี่คือการปะทะกันครั้งสำคัญ ที่มีเลื่อมใสที่ตัวตนเป็นพนันและคาถาอาคมปาฏิหาริย์เป็นตัวชี้ชะตา กำลังปะทุถึงจุดสุดยอด

นี่คือหนังภาคต่อ! ไม่ใช่รีเมค หรือรีบูต

mark 3
สำหรับตัวผู้กำกับต้อม-ปิยะชนิด ชูเพ็ชร์ ที่กำกับหนังภาคแรก ได้บอกว่าจอมขมังเวทย์ 2020 ไม่ใช่หนังรีเมค ไม่ใช่หนังย้อนอดีต เป็นหนังต่อภาคอย่างแท้จริง ซึ่งเขาได้รับจังหวะสำหรับเพื่อการกลับมาสร้างเรื่องราวในโลกคาถาอาคมอีกรอบโดยตกผลึกเรื่องราวความเลื่อมใส ความเชื่อ และมุมมองทางสังคมในแต่ละยุคที่ส่งต่อและเชื่อมโยงถึงกันมาใส่ไว้ในบทภาพยนตร์
ในมุมมองที่น่าดึงดูดของตัวผู้กำกับที่สะท้อนออกมาว่า “ภาคต่อกับขณะ” ถือเป็นแนวคิดที่สำคัญไม่น้อย เหตุเพราะในช่วงเวลานี้แนวคิดหัวข้อการต่อสู้ระหว่างคุณความดีกับความต่ำช้านั้น มุมมองของมนุษย์ก็เริ่มมีความแตกต่างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบันที่เทคโนโลยีก้าวเข้ามามีบทบาทกับความนึกคิด ความเลื่อมใสและความเชื่อของมนุษย์จึงแปรไปตามยุคสมัย ผู้กำกับจึงเริ่มตั้งปัญหาที่ว่า “ยุคนี้เขาเลื่อมใสอะไรและยุคก่อนเลื่อมใสอะไร” จนกระทั่งเขาได้ไอเดียที่ว่าด้วยความแตกต่างระหว่างความเลื่อมใสของคนต่างยุคสมัยนำมาสู่หัวข้ออะไรได้บ้าง
“ความนึกคิดของการปะทะกันเรื่องความเลื่อมใสของตัวเอง อะไรบางอย่างพวกเรารู้สึกว่ามันโง่เง่า แต่จริงๆแล้วมันอยู่ใกล้ๆรอบตัวพวกเราหมดเลย พวกเราห้อยพระ พวกเราไปไหว้พระ เพื่อให้เรามีความรู้สึกว่าพวกเรามีกำลัง พวกเรามีเลื่อมใสในตัวเองขึ้น ยุคเก่าพวกเราไปกราบไหว้ แต่ในตอนนี้มันหมายถึงเรื่องจิตวิญญาณ เรื่องอำนาจจิต เรื่องพลังจักรวาลอะไรอย่างงี้ อันนี้คือคอนเซปต์ที่พวกเรากล่าวถึงความเลื่อมใสของคนสองยุคมาเจอะกัน พวกเราจะเชื่ออะไรมากยิ่งกว่ากัน ซึ่งมันก็จะเป็นเรื่องราวและขั้นตอนการของจอมขมังเวทแต่ละคนที่จะใช้ศาสตร์คาถาอาคม มนตร์ ไสยเวทต่างๆมาต่อสู้กันตามความเลื่อมใสและเลื่อมใสของแต่ละคนเอง” ต้อม-ปิยะชนิด ชูเพ็ชร์ กล่าว

เพราะเหตุไรจำเป็นต้องใช้ผู้แสดงเบอร์ใหญ่ขนาดนี้
“จอมขมังเวทย์ 2020” เป็นการก้าวเข้าสู่โลกคาถาอาคมครั้งใหม่และประจันหน้าครั้งยิ่งใหญ่ของ “เหล่าจอมขมังเวท” นานัปการคาแร็กเตอร์แบบนี้ “ความขลังทางการแสดง” จึงเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่ผู้กำกับจำเป็นต้องจุดโฟกัสเป็นพิเศษไม่แพ้ด้านอื่นๆและได้เฟ้นหา “กลุ่มผู้แสดงขมังเวท” ซึ่งคณะทำงานตกลงใจใช้ผู้แสดงระดับแถวหน้าของวงการเพลิดเพลินไทย ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นหน้าจอหนังใหญ่ทีแรกของ หมาก-ปริญ สุภารัตน์ การกลับมารับหน้าที่เดิมจากภาคที่แล้วของนก-ฉัตรชัย ส่องแสงพานิช ก๊อต-จิรายุ ตันเชื้อสาย กับบทชายหนุ่มที่หลงใหลในศาสตร์มืด นก-สินจัย เปล่งพานิช กับการคืนหน้าจอใหญ่ในบทเจ้าแม่ลัทธิ! รวมไปถึงผู้แสดงเลือดใหม่เป็นต้นว่า คิทตี้-ชิชา อมาตยกุล และ แพร์-พิชชาภา พันธุมจินดา โดยเหตุผลสำคัญที่สุดสำหรับเพื่อการใช้ดาราเบอร์เต็งขนาดนี้ก็เนื่องจาก หนังอยากได้ฝีมือทางด้านการแสดงที่จะจำเป็นต้องเชือดเฉือนอารมณ์กัน เหตุเพราะทุกนักแสดงมีความสลับซับซ้อน น่าหลงใหลและเป็นตัวละครที่มีความทะยานอยากทุกตัว
นอกจากผู้แสดงเบอร์ใหญ่แล้ว งานเคล็ดวิธีพิเศษและฉากแอ็คชั่นในหนังประเด็นนี้จัดเต็มและอัดแน่นไม่แพ้กัน ซึ่งบรรดาฉากต่อสู้ปลดปล่อยพลังทางไสยศาสตร์ย์นั้น พูดได้ว่าเป็นฉากที่คนดูหนังไทยในปี 2019 จำเป็นต้องจำอย่างแน่นอน!