26/03/2023
Breaking News

ด่วน ศาลฎีกา แก้โทษ “คุณลุงวิศวะ” ติดตะราง 3 ปี 4 เดือน รอคอยการลงทัณฑ์ 3 ปี

ศาลฎีกาอ่านคำตัดสินลับหลัง ตัดสินคดีแก้โทษ “ลุงวิศวะ” จำคุก 3 ปี 4 เดือน ให้คอยการลงทัณฑ์ไว้ 3 ปี คุมพฤติกรรม 2 ปี รายงานตัวต่อบุคลากรคุมปฏิบัติ ทุก 3 เดือน

กรณี เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 12 พฤษภาคม 2564 ก่อนหน้านี้ ที่ศาลจังหวัดชลบุรี ศาลได้นัดหมายอ่านคำตัดสินในชั้นศาลฎีกา คดีที่ นายสุเทพ โภชนบริบูรณ์ อายุ 56 ปี วิศวกรบริษัทฯ เป็นเชลยในความผิดฐานนำอาวุธปืนไปในที่ชุมชนโดยไม่มีเหตุอันควรจะ แล้วก็ความผิดฐานฆ่าคนอื่นโดยตั้งใจ โดยก่อเหตุยิง นายนวพล ผึ่งผาย หรือปอนด์ อายุ 17 ปี จากเหตุทะเลาะเรื่องที่จอดรถ เหตุเกิดใกล้ตลาดอ่างหินผา จังหวัดชลบุรี  เมื่อค่ำวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2560 ซึ่งคดีนี้ ศาลอุทธรณ์ตัดสินคดีว่า เชลยมีความผิดฐานฆ่าคนอื่นโดยตั้งใจ จำคุก 15 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม อาจจำคุก 10 ปี ฐานพาอาวุธปืนฯ ปรับ 4,000 บาท ลดโทษให้ครึ่งหนึ่ง อาจปรับ 2,000 บาท รวมจำคุก 10 ปี แล้วก็ปรับ 2,000 บาท ให้เชลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 340,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันยื่นคำร้องขอเป็นต้นไป จนกระทั่งจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง

โดย นายวันชัย แสงสว่างสุวรรณ์ ทนายข้างผู้ตาย ได้เป็นตัวแทนข้างปัญหาผู้เสียหาย เดินทางมารับฟังคำตัดสินศาลฎีกา ในเวลา 09.40 น. โดยผู้พิพากษาท่านได้คอยทั้งเชลยแล้วก็ทนายข้างเชลย จนถึงเวลาล่วงเลยไปเกือบจะ 10.30 น. ไม่มีวี่แววว่าเชลยแล้วก็ทนายข้างเชลย จะเดินทางมาตามนัด แล้วก็มีท่วงท่าจะติดต่อกลับมา ทางผู้พิพากษา จึงทำตามอย่างวิถีทางที่ถูกต้องแห่งกฎหมายคือ สั่งยึดริบประกันปริมาณ 874,000 บาท พร้อมออกหมายจับ นายสุเทพ โภชนบริบูรณ์ หรือ ลุงวิศวะ โดยภายใน 1 เดือนถ้าจับกุมตัวได้ก็จะควบคุมตัวมาฟังคำตัดสิน แต่ถ้ายังตามจับกุมตัวไม่ได้ ก็จะอ่านคำตัดสินลับหลัง ในวันที่ 17 เดือนมิถุนายน นั้น

ความคืบหน้าเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 17 เดือนมิถุนายน 2564 ที่ศาลจังหวัดชลบุรี ศาลได้นัดหมายอ่านคำตัดสินศาลฎีกา ในคดีอาญาลำดับที่แดงที่ 3544 / 2561 ระหว่าง บุคลากรอัยการจ.ชลบุรีโจทก์ นางสาวมณีพร ผึ้งผาย โจทก์ร่วม นายสุเทพ โภชนบริบูรณ์ เชลย คดีต่อเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 4 เดือนกันยายน 2560 บุคลากรอัยการจ.ชลบุรีเป็นโจทก์ฟ้อง นายสุเทพ โภชนบริบูรณ์ เป็นเชลย ในความผิดฐานฆ่าคนอื่นโดยตั้งใจ พาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุสมควรแล้วก็โดยไม่ได้รับใบอนุญาต จากกรณีที่เชลยใช้อาวุธปืนยิงนายนวพลหรือปอนด์ ผึ้งผาย ถึงแก่กรรม เหตุเกิดเมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2560 ที่บริเวณแยกครกใหญ่ ตำบลอ่างหินผา อำเภอเมืองชลบุรี จ.ชลบุรีหรือเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า “คดีลุงวิศวะยิงผู้เรียน ม.4” ซึ่งเชลยให้การรับสารภาพในความผิดฐานพาอาวุธปืนฯ ส่วนความผิดฐานฆ่าคนอื่นโดยตั้งใจ เชลยให้การต่อสู้อ้างเหตุปกป้อง

ศาลชั้นตันมีคำตัดสินว่า เชลยมีความผิดฐานพาอาวุธปืนฯ แล้วก็ฆ่าคนอื่นโดยตั้งใจตามฟ้อง ฐานฆ่าคนอื่นโดยตั้งใจ จำคุก 15 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม อาจจำคุก 10 ปี ฐานพาอาวุธปืนฯ ปรับ 4,000 บาท ลดโทษให้ครึ่งหนึ่ง อาจปรับ 2,000 บาท รวมจำคุก 10 ปี แล้วก็ปรับ 2,000 บาท ชูคำอ้อนวอนร่วมเป็นโจทก์ของผู้ร้อง ให้เชลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนปริมาณ 340,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันยื่นคำร้องขอเป็นต้นไปจนกระทั่งจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องโจทก์แล้วก็เชลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ตัดสินคดียืนเชลยศาลฎีกาศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว มีความเห็นว่า ต้นเหตุคดีเริ่มต้นเมื่อพวกของคนเสียชีวิตจอดรถยนต์ตู้ซ้อนคันกับรถยนต์ของเชลย โดยไม่ได้พึงพอใจว่ารถยนต์ของเชลยที่จอดริมฟุตขว้างทจะออกไปได้ไหม เมื่อภริยาเชลยบอกให้ทราบว่ารถยนต์ของเชลยกำลังจะออก แต่พวกของคนเสียชีวิตไม่ขยับให้ กลับบอกให้รอก่อน การจอดรถยนต์ซ้อนคันขวางทางออกถนนของรถยนต์คันอื่น ทั้งมิยอมรีบขยับรถยนต์ให้รถยนต์คันที่ตนจอดขวางอยู่ออกไปได้ มิใช่เรื่องที่คนธรรมดาทั่วไปกระทำกัน เรื่องเช่นนี้ คนธรรมดาทั่วไปไม่ว่าใครก็ตามเผชิญ ย่อมจำต้องรู้สึกโกรธเป็นปกติ เชลยกล่าวถ้อยคำหยาบคายบ่อย แต่มีเพียงแต่ถ้อยคำเดียวที่พวกของคนเสียชีวิตได้ยินก่อนจะพากันขึ้นรถยนต์ตู้ไป ส่วนถ้อยคำหยาบคายอื่นเชลยแถลงการณ์ในรถยนต์ของตน ไม่น่าเชื่อว่าจะก่อให้พวกของคนเสียชีวิตมีความรู้สึกว่าควรต้องเอาการกับเชลย ทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงแต่ทำให้เชลยเสียเวล่ำเวลาไปบ้างบางส่วน จึงมิใช่เรื่องสำคัญโตถึงกับขนาดจำต้องฆ่ากัน น่าเชื่อว่า ในช่วงเวลาที่รถยนต์ของทั้งสองฝ่ายเคลื่อนออกจากบริเวณหน้าร้านค้าขายอาหารทะเลแห้ง ทั้งสองฝ่ายไม่ได้มีความคิดที่จะเอาการอีกข้างเนื่องจากเหตุจากการทะเลาะเบาะแว้งกัน ส่วนเรื่องระหว่างทางตั้งแต่รถยนต์ของทั้งสองฝ่ายออกจากร้านค้าขายอาหารทะเลแห้ง จนถึงเวลาก่อนที่จะถึงแยกครกใหญ่ พวกของคนเสียชีวิตเพียงแต่เปิดไฟสูงใส่เชลย ไม่ได้ขับแข่ง ขับแซง หรือปาดหน้า ในขณะที่อยู่ในวิสัยที่สามารถกระทำได้อย่างไม่ยากเย็น ส่วนข้างเชลย การกระทำภายในรถยนต์บอกให้เห็นได้ว่า หลังจากออกจากหน้าร้านค้าขายอาหารทะเลแห้งไม่นาน เชลยแล้วก็ภริยาต่างยับยั้งความโมโหได้แล้วก็เกรงว่าจะถูกข้างคนเสียชีวิตรังแก จึงมีความคิดจะไปวิงวอนจากเจ้าพนักงานตำรวจหรือบุคคลอื่น เมื่อรถยนต์ของทั้งสองฝ่ายไปถึงแยกครกใหญ่ เชลยไม่ได้ขับรถปาดหน้ารถยนต์พวกของคนเสียชีวิตเพื่อไปจอดรถยนต์ที่ริมฟุตขว้างท แล้วก็ไม่ได้มีการกระทำยุให้คนภายในกรุ๊ปคนเสียชีวิตมาทะเลาะต่อสู้กันอีก เมื่อมีคนภายในกรุ๊ปของคนเสียชีวิตหลายๆคนอยู่ล้อมรอบรถยนต์ของเชลย คนเสียชีวิตมุดศีรษะเข้ามาในรถยนต์ของเชลย บอกด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดว่า “เอ็งจะรบเปล่า” บ่อย แล้วก็มีความน่าจะเป็นไปได้สูงที่คนเสียชีวิตจะเข้ามารังแกเชลยในชั่วเวลาอีกไม่นาน ขณะเดียวกันเชลยยังถูกพวกของคนเสียชีวิตชกต่อยจากทางด้านหลัง ย่อมนับได้ว่าเป็นอันตรายซึ่งเกิดจากการทำร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายแล้วก็เป็นภัยอันตรายที่ใกล้จะเกิดขึ้นแก่ชีวิตแล้วก็ร่างกายของเชลยแล้ว ประกอบกับเชลยนั่งอยู่ที่ที่นั่งผู้ขับอันเป็นการอยู่ในที่จำกัดแล้วก็เคลื่อนร่างกายได้ยาก การที่เชลยใช้อาวุธปืนยิงออกไป จึงเป็นทางเดียวที่จะให้เชลยพ้นจากการถูกรังแก โดยคนเสียชีวิตแล้วก็พวกได นับได้ว่าพฤติกรรมของเชลยเป็นการกระทำเพื่อปกป้องตนให้พ้นภัยอันตรายที่เกิดจากการทำร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายแล้วก็เป็นภัยอันตรายที่ใกล้จะถึง แต่เมื่อเชลยมองเห็นอยู่แล้วว่าคนเสียชีวิตแล้วก็พวกไม่มีอาวุธ ถ้าเชลยเพียงแต่พกพาอาวุธออกมาขู่ว่าจะยิง หรือยิงออกไปโดยไม่จำเป็นจำต้องให้ถูกคนเสียชีวิตหรือยิงไปที่อวัยวะอื่นที่ไม่มีความจำเป็นของคนเสียชีวิต ก็ย่อมเพียงพอที่จะยับยั้งมีให้คนเสียชีวิตแล้วก็พวกเขามารังแกได้แล้ว แต่เชลยกลับใช้อาวุธที่อกซ้ายของคนเสียชีวิต หากแม้ยิงเพียงแต่นัดหมายเดียวก็ไม่เป็นการได้สัดส่วนกับภัยอันตรายที่เกิดขึ้นหรืออาจเกิดขึ้นพฤติกรรมของเชลยจึงเป็นความไม่ถูกฐานฆ่าคนอื่นโดยปกป้องเกินสมควรแก่เหตุ ไม่ปรากฏว่าเชลยเคยถูกลงโทษจำคุกมาก่อน เหตุคดีนี้เกิดจากข้างคนเสียชีวิตจอดรถยนต์ขวางทางรถยนต์ของเชลยจนถึงเรื่องแพร่กระจายแย่ลงกว่าเดิม อันเป็นความผิดของข้างคนเสียชีวิตด้วยส่วนหนึ่ง การรอการลงทัณฑ์ให้แก่เชลยน่าจะเป็นผลดีแก่เชลยแล้วก็สังคมส่วนรวมมากยิ่งกว่าการลงทัณฑ์จำคุกไปเสียเชิงเดียว

ตัดสินคดีแก้เป็นว่า ฐานฆ่าคนอื่นโดยปกป้องเกินสมควรแก่เหตุ จำคุก 5 ปี ลดโทษหนึ่งในสาม อาจจำคุก 3 ปี 4 เดือน เมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานพาอาวุธปืนฯ แล้ว รวมจำคุก 3 ปี 4 เดือน แล้วก็ปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกให้คอยการลงทัณฑ์ไว้ 3 ปี คุมพฤติกรรม 2 ปี รายงานตัวต่อบุคลากรคุมปฏิบัติทุก 3 เดือน ให้เชลยไปเข้ารับการฝึกอบรมที่เกี่ยวกับการหยุดยั้งควบคุมอารมณ์ที่เกิดจากการใช้รถยนต์ใช้ถนนแล้วก็ให้ทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์มีระบุ 30 ชั่วโมง

โดยทางข้างทนายแล้วก็มารดาของคนเสียชีวิต ได้เผยข้างหลังฟังคำตัดสินว่า ก็ไม่มีอะไรแล้ว มันนานมาแล้วก็สารภาพคำตัดสินของศาล ส่วนทางแพ่งก็ดังเดิม เขาจำต้องมาชดใช้ แล้วก็วันนี้คำตัดสินก็เป็นไปตามที่ศาลท่านตรึกตรอง เชลยไม่มาก็มีการปรับไปแล้ว ส่วนทางแพ่งก็รอดูเขาว่าจะมาชดใช้เมื่อไหร่ เพื่อเป็นไปตามอำนาจศาล