Avengers: Endgame เป็นตอนต่อโดยตรงจาก Avengers: Infinity War (2018) สิ่งที่อนุมานได้อย่างง่ายดายก็คือ ภารกิจสำคัญของหนังเรื่อง Avengers: Endgame ย่อมหนีไม่พ้นการถักต่อรายละเอียดของตอนก่อนหน้าที่จบลงอย่างจำพวกที่เกือบจะไม่หลงเหลือความหวังอะไรก็ตามให้กับผู้ชม
อเวนเจอร์ 4 พูดสรุปอย่างย่นย่อ เหล่าซูเปอร์ฮีโร่ทั้งทีมอเวนพบร์สแล้วก็ทีมกัปตันอเมริกา (ซึ่งบาดหมางในเชิงอุดมการณ์ในตอน Captain America: Civil War) จบลงด้วยความปราชัยอย่างหมดรูป หัวหน้าทีมอย่าง โทนี สตาร์ก กำลังพบเจอวาระสุดท้ายของตนเองนอกโลก แม่ทัพนายกองคนไม่ใช่น้อยจะต้องกลายสภาพเป็นขี้เถ้าละออง เนื่องมาจากพลังจากการ ‘ดีดนิ้ว’ ของ ธานอส จอมวายร้ายผู้ครอบครองถุงมือมหาประลัย ซึ่งแต่งแต้มไว้ด้วยอัญมณีครองโลกทั้งยัง 6 ก้อน หรือถ้าเกิดจะพูดให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่ใช่เพียงแค่เหล่าซูเปอร์ฮีโร่ราวครึ่งค่อนที่ม้วยมรณามรณา แต่ว่าครึ่งหนึ่งของทุกๆชีวิตในระบบกาแล็กซีก็จะต้องพลอยล้มหายตายจากไปด้วย จากแนวนโยบายอันใจยักษ์แล้วก็เหี้ยมโหดของจอมเผด็จการธานอส ผู้ซึ่งเห็นว่านั่นเป็นหนทางเดียวที่จะพิทักษ์รักษาให้จักรวาลกลับสู่ความสมดุลแล้วก็อยู่รอด
พูดง่ายๆในแง่ของการเล่าเรื่อง Avengers: Endgame เป็นไปไม่ได้เลือกมากสักเท่าไรนัก นอกเหนือจากเก็บองค์ประกอบที่หักพังแล้วก็ผิดใจจากภาคก่อนหน้า แล้วก็ค่อยๆนำมาผสานให้เข้าที่เข้าทาง แล้วก็ในขณะการเริ่มต้นพูดถึงรายละเอียดของหนังเรื่อง Avengers: Endgame สุ่มเสี่ยงต่อข้อกล่าวหาว่าเฉลยคำตอบปมหรือจุดหักเหสำคัญของเรื่อง ว่ากันตามจริง แท็กติกแล้วก็วิธีการที่คนทำหนังพาเหล่านักแสดงออกไปจากมุมอับในช่วงท้ายของตอนก่อนหน้า แล้วก็เป็นจุดเริ่มของขณะนี้ นอกเหนือจากมิได้เป็นของแปลกใหม่ ยังเป็นลูกเล่นเดียวกันกับหนังเกรดบีแนว Cliffhanger ในตอนทศวรรษ 1950 ไม่มีผิดเพี้ยน
หรือระบุให้เด่นชัดอีกนิด จุดเริ่มรายละเอียดของ Avengers: Endgame มิได้มีสถานะเป็นความลับพอๆกับเซอร์ไพรส์ ซึ่งว่าไปแล้วผู้สร้างก็ทิ้งปมไว้ใน End Credit ของในตอนที่แล้วพอสมควร แล้วก็น่าไว้วางใจว่ามิได้เป็นเรื่องเหนือความคาดหวังสำหรับเหล่าสาวกมาร์เวลสักมากแค่ไหน แต่กันตามจริง คนทำหนังจะต้องทำอะไรสักอย่างอยู่แล้วเพื่อเรื่องดำเนินไปต่อได้ ประเด็นจึงอยู่ที่ว่ามันมองแนบเนียนแล้วก็มีเหตุผล หรือว่าเป็นเพียงแต่การหักหลังคนดูอย่างหน้าไม่อาย ซึ่งในกรณีของ Avengers: Endgame ก็อาจจะต้องบอกว่าคนทำหนังสามารถเอาชีวิตรอดไปได้อย่างลอยนวล
พินิจพิเคราะห์จากสถานะของการเป็นตอนสุดท้ายของแฟรนไชส์ ซึ่งถูกเรียกร้องให้จะต้องทำหลายแบบพร้อมๆกัน ตั้งแต่การหาทางออกให้กับปมของเรื่อง ผู้กระทำระจายบทให้นักแสดงซึ่งมีจำนวนหลายชิ้นได้มีเวลาแล้วก็พื้นที่ของตนเอง ไปจนกระทั่งการเปิดโอกาสให้ผู้ชมได้รำ่ลาบรรดานักแสดงที่อุตส่าห์คลุกคลีมาร่วมสิบปี แถมด้วยในระหว่างนี้ คนทำหนังก็ยังจะต้องคอยหยอดมุกขำขันสลับกับการสอดแทรกแง่มุมดราม่าเข้ามาเพื่อหนังมีจังหวะจะโคนขึ้นลงที่น่าติดตาม แล้วก็นั่นยังไม่ต้องพูดถึงฉากแอ็กชันที่เป็นส่วนสำคัญของหนังมาตั้งแต่ต้น โดยปริยาย Avengers: Endgame เป็นหนังที่หลบหลีกภาวะอุ้ยอ้ายแล้วก็งุ่มง่ามได้ทุกข์ยาก
ส่วนที่น่าทึ่งก็คือ หนังสามารถจัดแจงกับข้อแม้แล้วก็คำเรียกร้องต่างๆที่พ่วงมาจากตอนก่อนหน้าได้อย่างเข้มข้น รัดกุม แนบเนียน แยบยล (หรือเนื้อหาที่รุ่มร่ามนิดๆหน่อยๆก็เป็นสิ่งที่ยอมรับได้) แล้วก็ก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างเป็นตัวของตัวเองแล้วก็อันหนึ่งอันเดียวกัน ระยะเวลา 3 ชั่วโมงกับ 1 นาทีของหนังพ้นไปราวกับติดปีกโบยบิน เหนือสิ่งอื่นใด นี่เป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่สามารถใช้คำว่าประทับใจตื้นตัน แล้วก็น่าไว้วางใจว่าคนดูจำนวนหลายชิ้นน่าจะเดินออกจากโรงภาพยนต์ด้วยความรู้สึกห่วงหาอาทร